เรื่อง ประเมินข้าราชการต้องเป็นธรรม
คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๕๗ กำหนดหลักเกณฑ์ในการประเมินผลงานผู้บริหารระดับสูง และหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ มาตรา ๔๔ เป็นที่ประจักษ์แก่ข้าราชการทุกกรม กระทรวง ตั้งแต่ช่วงที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจแล้ว การให้มีกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จำนวน ๕๐ อัตราเพื่อรองรับเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกโอนย้าย หรือเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น เท่ากับส่งสัญญาณชัดว่า รัฐบาลเตรียมลงดาบผู้บริหารที่เกียร์ว่าง หรือขาดประสิทธิภาพ
ภายใต้คำสั่งดังกล่าว มีการประเมินผลงานผู้บริหารซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลายมิติ ทั้งประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงานประจำ งานตามกฎหมาย การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายรัฐบาล การประเมินผลงานตามยุทธศาสตร์ ภารกิจพิเศษ และประเมินผลงานในเชิงพื้นที่หรือเชิงบูรณาการ เป็นต้น ผู้ประเมินประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รวมทั้งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ในการประเมินผลงานข้าราชการระดับสูง คาดหวังว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของผู้บริหารให้มุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจสมกับที่ได้รับความไว้วางใจ หากสัมฤทธิผลจะทำให้การขับเคลื่อนโครงการ มาตรการสำคัญโดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนไม่ติดขัด และเกิดผลในทางปฏิบัติเป็นรูปธรรมรวดเร็วขึ้น การดำเนินการต้องโปร่งใสเป็นธรรม การปรับเปลี่ยนเป็นไปตามกฎกติกาตามครรลองระบบคุณธรรม ปราศจากอคติหรือเลือกปฏิบัติ มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจในการทำงานของข้าราชการทั้งระบบ
ที่สำคัญนอกจากปลดล็อกเจ้าหน้าที่รัฐที่เกียร์ว่าง ยังสร้างคนเก่งคนดีให้เกิดขึ้นในแวดวงราชการ เร่งผลักดันนโยบายให้สัมฤทธิผลซึ่งต้องทำควบคู่กันไป.
โดย พรรณี ตั้งใจสถาปัตย์
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|