เรื่อง STEM EDUCATION: นวัตกรรมการศึกษาแนวใหม่
STEM EDUCATION หรือโครงการสะเต็มศึกษากำลังเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของครู อาจารย์ บุคลากรในแวดวงการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากเป็นนโยบายที่กระทรวงศึกษาธิการกำลังผลักดันและสนับสนุนให้เกิดขึ้น โดยที่มาของคำว่า “สะเต็ม” หรือ “STEM” นั้น มาจากคำย่อภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์(Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) หมายถึงองค์ความรู้ วิชาการของศาสตร์ทั้งสี่ที่มีความเชื่อมโยงกันในโลกของความเป็นจริงที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ต่างๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันในการดำเนินชีวิตและการทำงาน
สะเต็มศึกษาเป็นแนวทางการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้ใน 4 สหวิทยาการ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ โดยเน้นการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงและการทำงาน โดยเป็นการเรียนรู้ที่ไม่เน้นเพียงการท่องจำทฤษฎีหรือกฏทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ แต่เป็นการสร้างความเข้าใจทฤษฎีหรือกฏเหล่านั้นผ่านการปฏิบัติให้เห็นจริงควบคู่กับการพัฒนาทักษะการคิด ตั้งคำถาม แก้ปัญหาและการหาข้อมูลและวิเคราะห์ข้อค้นพบใหม่ๆ พร้อมทั้งสามารถนำข้อค้นพบนั้นไปใช้หรือบูรณาการกับชีวิตประจำวันได้
ในต่างประเทศก็มีการจัดการศึกษาตามแนวทางของสะเต็มศึกษาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนำเหตุการณ์สำคัญของประเทศที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นโจทย์ของการเรียนการสอน ในประเทศญี่ปุ่นที่ประสบภัยพิบัติมาตลอด จึงนำมาใช้ในภาคการศึกษา ดังเช่น การคำนวณพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม การไหลของน้ำ การเคลื่อนที่ของคลื่นสึนามิ แม้จะเป็นความเข้าใจในพื้นฐานไม่ลึกซึ้งขนาดเรียนเรื่องแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ (computer modeling) ที่หน่วยงานดูแลและบริหารใช้งานอยู่จริง แต่ก็ทำให้นักเรียนเห็นภาพ ตั้งใจเรียนและพยายามมากยิ่งขึ้น
สำหรับประเทศไทยนั้นการศึกษาและอาชีพด้านสะเต็มถือว่าเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างชาติและช่วยพัฒนาสังคม เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยและพัฒนา แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ วิศวกร สถาปนิก นักบิน โปรแกรมเมอร์ นักดาราศาสตร์ นักธรณีวิทยา นักนิติเวช นักสำรวจ นักการเงิน และบัญชี นักวิเคราะห์การตลาด นักโภชนาการ ช่างเทคนิค ช่างไฟฟ้า เกษตรกรและปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงครู นักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยในสาขาที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนโครงการ STEM Education นั้นจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานด้านวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาวิศกร สภาสถาปนิก แพทย์ศาสตร์ และสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น รวมทั้งบริษัทที่ต้องใช้ผู้มีความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น ปตท. เอสซีจี ซี พี และบริษัทประกอบรถยนต์ เป็นต้น และที่ขาดเสียไม่ได้คือในส่วนของครูผู้สอนและผู้ที่สร้างหลักสูตรการสอนเองก็ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคนิคการสอนเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในทิศทางเดียวกันด้วย
โดย ปัทมาวดี เหลือสม
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|