เรื่อง ร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ......
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ..... ไปเมื่อ ๗ เมษายนที่ผ่านมา ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะเป็นกฎหมายหลักให้ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม หลังมีการบังคับใช้จนถึงวันลงประชามติในวันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคมนี้
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.....สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้สรุปประเด็นสำคัญและหลักการของร่างดังกล่าวว่า ร่างฉบับนี้จะใช้เฉพาะการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้น โดยหลักการของร่างฯนี้ คือ ต้องการให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงไปออกเสียงให้มากที่สุด เป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม และต้องการให้มีการแสดงความคิดอย่างรอบด้าน การบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะไม่ปิดกั้นการแสดงความเห็น แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นไปโดยสุจริต ไม่ขัดต่อกฎหมาย และผลการออกเสียงเมื่อประกาศออกมาแล้ว ต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชน สิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำประเด็นเรื่องการลงประชามติไปสร้างความขัดแย้ง ความเดือดร้อน ความไม่สงบเรียบร้อย การเผยแพร่ข้อความใด ๆ ต้องไม่ผิดไปจากข้อเท็จจริง มาตราใดที่ดีหรือไม่ดีต้องชี้ออกมาให้เห็น อย่าไปบิดเบือน การชี้แจงนั้นต้องไม่ก้าวร้าว รุนแรง หยาบคาย ไม่ปลุกระดมหรือข่มขู่เพื่อให้ผู้มีสิทธิ์ไม่สามารถไปออกเสียงประชามติ
ในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ยังเขียนให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มีหน้าที่ชี้แจงอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ กรณีที่เกรงว่ากระทำแล้วขัดต่อกฎหมาย สามารถปรึกษาด้านข้อกฎหมายกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันได้ว่ามีความเห็นโดยสุจริต หรือผู้ที่แสดงความเห็นว่าร่างฯไม่ดีอย่างไร ในมาตราใด
สามารถขอให้ กกต.จัดพิมพ์และเผยแพร่ได้ ซึ่ง กกต.ต้องวางตัวเป็นกลาง และต้องพิมพ์ในส่วนความคิดของผู้ไม่เห็นด้วยกับร่าง รธน.ด้วย ร่าง พ.ร.บ.นี้ ไม่ปิดกั้นความคิดเห็นของประชาชน ขอเพียงให้ความคิดเห็นนั้นอยู่ในขอบเขต เช่นเดียวกับขอบเขตในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพแต่ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ผู้ใดฝ่าฝืน ร่าง พ.ร.บ.ประชามติฉบับนี้จะมีบทลงโทษรุนแรง แต่กรณีความผิดที่เกิดกับบุคคลโดยทั่วไป เป็นการกระทำผิดโดยพลั้งพลาด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่จงใจ จะลงโทษขั้นต่ำเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงต่อศาลว่า ไม่มีเจตนาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์
สนช.มองเหตุการณ์รอบด้าน นำประสบการณ์ที่ผ่านมาใช้แก้ไขปัญหา หากความผิดนั้น กระทำโดยกลุ่มบุคคลตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป ผู้นั้นจะได้รับโทษรุนแรงเพราะถือว่าก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ปัจจุบันสังคมมีความสงบเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำประเด็นประชามติไปสร้างความขัดแย้ง.
โดย พรรณี ตั้งใจสถาปัตย์
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|