เรื่อง น้ำผึ้งรักษาโรค
น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารธรรมชาติที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ เกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ที่ผึ้งบินไปตอมซึ่งเป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้ว ใช้กระบวนการตามธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งตอม ในน้ำผึ้งมีวิตามิน บี ซี และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ กรดอะมิโนจำเป็น รวมถึงสารแอนติออกซิแดนท์ สรรพคุณของน้ำผึ้ง นอกจากจะช่วยในเรื่องความงามแล้ว ยังช่วยรักษาโรคและบรรเทาอาการต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้
- แก้ไอ น้ำผึ้งสามารถกำจัดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการไอได้ โดยเฉพาะคนที่ไอเรื้อรังไม่ยอมหาย ลองกินน้ำผึ้ง 2 ช้อนชาแล้วดื่มน้ำอุ่นตาม อาการไอจะค่อย ๆ บรรเทาลง
- รักษาแผลในกระเพาะ เนื่องจากน้ำผึ้งมีฤทธิ์สมานแผล จึงสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคกระเพาะได้
- รักษาเชื้อรา ในน้ำผึ้งมีเอนไซม์ที่ผึ้งปล่อยออกมา ซึ่งเอนไซม์ที่ว่านี้ก็มีฤทธิ์คล้ายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ จึงสามารถรักษาเชื้อราหรืออาการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ได้นั่นเอง
- แก้อาการนอนไม่หลับ เนื่องจากน้ำผึ้งให้ความหวานกับร่างกาย ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลิน และหลั่งสารเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา
จากนั้นเซโรโทนินจะเปลี่ยนเป็นเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกง่วงและรู้สึกอยากนอน จะช่วยทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น
- บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ เนื่องจากน้ำผึ้งมีฤทธิ์คล้ายสารต้านการอักเสบ และน้ำผึ้งยังมีอนุมูลละอองเกสรขนาดเล็กอยู่มากมาย ซึ่งเมื่อร่างกายเจอสิ่งนี้ก็จะกระตุ้น ให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารฮีสตามีนน้อยลง อาการของ โรคภูมิแพ้จึงบรรเทาลงได้
- ช่วยรักษาแผล และล้างแผลได้ อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า น้ำผึ้งมีฤทธิ์ คล้ายยาต้านการอักเสบ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติคล้ายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์อ่อน ๆ จึงสามารถนำน้ำผึ้งมารักษาแผลได้ ยืนยันจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร British Journal of Surgery ที่บันทึกสถิติของคนไข้ที่รักษาแผลด้วยน้ำผึ้งแล้วหายดี และยังไม่มีอาการแผลไหม้หรือ แสบแผลอีกด้วย
แม้น้ำผึ้งจะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่ก็มีบุคคลบางกลุ่มที่ไม่เหมาะกับ การรับประทานน้ำผึ้ง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีอาหารแพ้ละออง ของเกสรดอกไม้ เพราะอาจทำให้เกิดผื่นแดง และผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลหลายชนิด จึงจำเป็นที่ต้องควบคุมปริมาณในการรับประทาน นอกจากนี้ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ไม่ควรทานน้ำผึ้งเนื่องจากในน้ำผึ้งมีเอนไซม์และน้ำลายจากตัวผึ้ง เด็กอาจมีภูมิต้านทานไม่พอจนทำให้เกิดอาการอาเจียนหรือท้องเสียได้ และต้องมั่นใจว่าน้ำผึ้งนั้นสะอาด ได้มาจากแหล่งที่ปลอดภัยถูกหลักอนามัย ต้องระมัดระวังการปนเปื้อน โดยเฉพาะการนำน้ำผึ้งมาใช้ในการรักษาและสมานแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเกิดการลุกลาม เน่าเปื่อยได้
โดย ปุญยาวีร์ นิตย์สุข
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|