เรื่อง ปลูกกล้วยไข่แซมสวนไม้ผล สร้างรายได้ดีกว่าพืชหลัก
กล้วยไข่เป็นผลไม้ส่งออกที่สำคัญชนิดหนึ่งของไทย มีแหล่งปลูกที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี นครสวรรค์ เพชรบุรี ตาก และ ชุมพร โดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรี มีพื้นที่ปลูกมากที่สุดประมาณ 25,731 ไร่ ปลูกกล้วยไข่เพื่อการส่งออกไปยังประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม
นายนภดล แดงพวง นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรี กล่าวว่า การปลูกกล้วยไข่ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี มีพื้นที่ปลูกมากในอำเภอท่าใหม่ อำเภอมะขาม และอำเภอโป่งน้ำร้อน ลักษณะพื้นที่เป็นที่ดอนหรือพื้นที่ราบไม่มีน้ำท่วมขัง อยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติหรือคลองชลประทาน การคมนาคมสะดวก สามารถขนส่งผลผลิตได้รวดเร็ว เกษตรกรจะนิยมปลูกกล้วยไข่แซมในสวนผลไม้เพื่อป้องกันลมพายุจากธรรมชาติที่อาจจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิต ที่สำคัญกล้วยไข่ยังถือเป็นพืชเสริมที่เป็นทางเลือกในระหว่างรอเก็บเกี่ยวไม้ผลหลักทีสามารถสร้างรายได้ตลอดทั้งปี เนื่องจากการผลิตกล้วยไข่ของเกษตรกรส่วนใหญ่จะปลูกเพื่อการส่งออกเป็นหลัก จำเป็นต้องควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ได้วิจัยทดลองพัฒนาการผลิตกล้วยไข่ให้เกษตรกร โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพและปริมาณเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่มศักยภาพการผลิตกล้วยไข่ของเกษตรกร ให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การผลิตกล้วยไข่เพื่อให้ได้คุณภาพสำหรับส่งออกต้องปฏิบัติตามหลักการเกษตรที่ดีและเหมาะสม(GAP) มีขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้แก่ การใช้หน่อพันธุ์ที่สมบูรณ์ มีความสูงไม่ต่ำกว่า 50 เซนติเมตร หลุมปลูกขนาด 50X50X50 ระยะปลูก 2X2 เมตร มีจำนวนต้นประมาณ 80-100 ต้นต่อไร่ ก่อนปลูกรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักหรือคอก การใช้ปุ๋ยเคมีตามคำแนะนำ การจัดการดูแลรักษาตามระยะที่เหมาะสม การแต่งใบ แต่งหน่อ การไว้หน่อเพื่อทดแทนต้นแม่ การค้ำเครือ การห่อผลและการป้องกันโรคแมลงศัตรูพืช การเก็บเกี่ยวจะเก็บหลังจากตัดปลีประมาณ 45 วัน การผลิตกล้วยไข่เพื่อการส่งออกจะเก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีความสุกแก่ที่ 70-80% นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีการวางแผนการผลิตเพื่อให้ผลผลิตออกสู่ตลาดในช่วงที่ผู้บริโภคมีความต้องการสูง โดยเฉพาะเทศกาลสำคัญของประเทศคู่ค้าอย่างวันตรุษจีน เป็นต้น ทำให้กล้วยไข่มีราคาค่อนข้างสูง ระหว่าง 65-90บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไข่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตขายได้ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ สร้างรายได้เฉลี่ย 2,000-5,000 บาทต่อสัปดาห์
จากการศึกษาระบบการปลูกกล้วยไข่ร่วมในแปลงไม้ผลเศรษฐกิจเพื่อเปรียบเทียบรายได้ต้นทุนการผลิต ในพื้นที่แปลงตัวอย่างของเกษตรกร พบว่าการปลูกกล้วยไข่ในสวนมังคุด จะมีรายได้จากกล้วยไข่เฉลี่ย 34,500 บาทต่อไร่ต่อปี มีรายได้จากมังคุดอย่างเดียวเฉลี่ย 25,800 บาทต่อไร่ต่อปี แสดงให้เห็นว่ากล้วยไข่เป็นพืชเสริมที่มีศักยภาพสามารถสร้างรายได้ที่คุ้มค่าตลอดทั้งปี ทั้งยังมีต้นทุนการผลิตต่ำ และไม่กระทบต่อการผลิตพืชหลักที่สำคัญคือตลาดทั้งในและต่างประเทศยังมีความต้องการสินค้ากล้วยไข่ที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงขึ้นด้วย ตัวอย่างเกษตรกรที่ปลูกกล้วยไข่ร่วมกับไม้ผล ได้แก่ คุณยุทธยงค์ พาที ปลูกกล้วยไข่แซมในไม้ผล มีพื้นที่ทำสวนไม้ผลทั้งสิ้น 17 ไร่ ปลูกพืชเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น ทุเรียน ลองกองมังคุด พื้นที่ทำสวนได้แบ่งพื้นที่ทดลองปลูกกล้วยไข่ร่วมในแปลงมังคุดจำนวน 4 ไร่ ปรากฏว่าเมื่อคำนวณต้นทุนการผลิตและรายได้ที่ได้รับแล้ว พบว่าการปลูกกล้วยไข่สามารถทำรายได้สูงกว่ามังคุด มีต้นทุนการผลิตมังคุดอยู่ที่ 4,250 บาทต่อไร่ต่อปี และมีรายได้จากมังคุดเป็นเงิน 52,200 บาท ในขณะที่กล้วยไข่มีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 3,870 บาทต่อไร่ต่อปี สามารถจำหน่ายผลผลิตกล้วยไข่และมีรายได้มากถึง 98,400 บาท เนื่องจากกล้วยไข่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อปี ประกอบกับราคากล้วยไข่ในแต่ละช่วงที่เก็บเกี่ยวอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้จากกล้วยไข่สูงกว่ามังคุด
โดย ญาณี จันทร์กล่ำ
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|