เรื่อง การศึกษาแบบพอเพียง
ในอดีตที่ผ่านมา การศึกษาไทยมีความเกี่ยวข้องอยู่กับสถาบันทางด้านสังคมเป็นหลัก คนส่วนใหญ่ได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาในการประกอบอาชีพ จากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย สู่ลูกหลาน
ปัจจุบัน การศึกษาสมัยใหม่ได้เข้ามาในประเทศไทยโดยผ่านการเรียนการสอนที่มีหลักสูตรมาจากส่วนกลาง ขาดความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ส่งผลให้ชุมชนเริ่มอ่อนแอ และเกิดการแข่งขันกัน โดยมุ่งแต่ประโยชนส่วนตน ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกนำไปใช้อย่างสิ้นเปลือง ทั้งนี้ เป้าหมายการศึกษาที่แท้จริงจะต้องรู้เท่าทันตนเอง ชุมชน สังคม และการเปลี่ยนแปลงของโลกที่สามารถนำไปสู่การพึ่งพาตนเอง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เปิดโอกาสในการเข้าถึงความรู้อย่างเสมอภาคให้พอเพียงกับความต้องการของกลุ่มต่าง ๆ ครอบคลุมผู้ด้อยโอกาส เด็กและกลุ่มบุคคลพิเศษได้อย่างทั่วถึง โดยไม่จำกัดสิทธิหรือมีความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน มีมาตรการและกลไกที่จะสนับสนุนให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจน เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่อาศัยโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาในทุกรูปแบบ โดยการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มพูนความรู้ทักษะการดำรงชีวิตในสังคมนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้อย่างรู้เท่าทัน และเป็นอิสระจากภาวะต่าง ๆ อันเกิดจากความไม่เป็นธรรม รวมทั้ง การเรียนรู้โดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การพัฒนาอาชีพ สืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม การอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจน การศึกษาโดยผ่านสื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ เช่น การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม วิทยุ สิ่งพิมพ์ อินเทอร์เน็ต รวมถึงห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ แหล่งท่องเที่ยว หรือแหล่งเรียนรู้สาธารณะต่าง ๆ ด้วย
ดังนั้น การศึกษาไม่ควรจำกัดอยู่เพียงการเรียนเพื่อให้มีงานทำ แต่ควรมีเป้าหมายให้เกิดทักษะในการดำรงชีวิต ให้รู้จักตนเองและการอยู่ร่วมกันโดยสอดคล้องกับคุณลักษณะในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผลและการมีภูมิคุ้มกันในตนเองที่ดีอย่างครบถ้วน ซึ่งถือเป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาคนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริงนั่นเอง
โดย ทิฆัมพร บุญมาก
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|