อาการไข้เลือดออกที่เด่นชัดคือมีไข้คล้ายคนไข้ที่มีอาการไข้หวัดทั่วไป แต่มีข้อแตกต่างคือมีตุ่มสีแดงที่แขน ความดันโลหิตต่ำ ตาพร่า อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ บางรายมีอาการมากผิวจะมีสีแดง โดยเฉพาะที่ใบหน้า มีเลือดออกที่ตับ ม้าม หรือมีอาการของไตวายร่วมด้วย

การตรวจคนไข้ที่แพทย์เฉพาะทางสงสัยว่าเป็นอาการของโรคไข้เลือดออก แพทย์จะเจาะเลือด ตรวจหาเชื้อที่ห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้การตรวจจำนวนเกล็ดเลือด ก็เป็นการวินิจฉัยได้เป็นอย่างดี

การรักษาไข้เลือดออก ยังไม่มียารักษาโดยตรง แพทย์จะรักษาตามอาการ คนไข้จะต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล กับแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบ เพื่อป้องกันการระบาด คนไข้ไม่ควรรักษาด้วยตนเอง เพราะปัจจุบันเชื้อไข้เลือดออกมีการกลายพันธุ์ ทำให้เชื้อรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นโรคไข้เลือดออกจึงทำได้เพียงป้องกันตัวเองโดย

1.ป้องกันไม่ให้ยุงกัด ไม่ว่าทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะปัจจุบันสภาพอากาศเปลี่ยนไปมาก ทำให้ยุงลายออกหากินเปลี่ยนไป ยุงลายจะใช้โปรตีนบางตัวในเลือดในการวางไข่ เมื่อยุงลายไม่ได้กินเลือดก็จะไม่สามารถวางไข่ได้  

2. การไม่สวมเสื้อที่มีสีทึบ และไม่อยู่ในที่มืดก็เป็นการป้องกันไม่ให้ยุงลายกัดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

3. แจ้งเจ้าหน้าที่ เมื่อมีคนใกล้ตัวป่วย ควรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบเพื่อวางแผนการป้องกันการระบาดอย่างมีระบบ

4. คว่ำภาชนะที่มีน้ำขัง เช่นชามเก่า กระป๋อง เป็นต้น เพื่อป้องกันยุงลายวางไข่เพราะธรรมชาติยุงลายจะชอบวางไข่ในน้ำนิ่งเป็นการทำลายวงจรชีวิตของยุงลาย สำหรับภาชนะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ใส่ทรายอะเบท หรือเกลือแกงลงไปเป็นการทำลายไข่ยุง

5. สำหรับเด็กและคนชราควรอยู่ในห้องที่มีการป้องกันยุงมิดชิด เพราะคนกลุ่มนี้มีภูมิคุ้มกันต่ำ คนปกติเองควรออกกำลังกายเพื่อสุขภาพแข็งแรงเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้

5. ไข้เลือดออกเป็นโรคร้ายที่คนไทยมีอัตราการป่วยและเสียชีวิตมากขึ้นทุกปี ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เป็นสาเหตุให้ยุงลายเจริญเติบโตได้ดี รวมทั้งปัจจุบันสภาพอากาศโลกเปลี่ยนไปทำให้วงจรชีวิตของยุงลายสั้นลง ส่งผลให้จำนวนยุงลายมีจำนวนมาก นี่คือสิ่งที่คนไทยควรตระหนักหาทางป้องกัน