เรื่อง การฟื้นฟูการค้าระหว่างไทย-อิหร่าน
การประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD : Asia Cooperation Dialogue) ครั้งที่ ๒ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา มีสมาชิกจากแทบทุกประเทศในเอเชียถึง ๓๔ ประเทศเข้าร่วมประชุม ก่อนการประชุมจริงเกิดขึ้น เป็นการประชุมแบบทวิภาคีเพื่อพบปะหารือกันเป็นรายประเทศ คือ ระหว่างประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าภาพกับมิตรประเทศที่หารือกันเป็นการเฉพาะ หรือระหว่างประเทศที่มาประชุมและนัดหมายหารือทวิภาคีกัน โดยเฉพาะประเทศอิหร่าน ถือเป็นการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีอิหร่านเป็นหัวหน้าคณะ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-อิหร่านที่ดำเนินมาถึง ๔๖๓ ปี ที่ผ่านมาอิหร่านแสดงถึงความมั่นคงในไมตรีอย่างเด่นชัด
การเดินทางมาครั้งนี้ รัฐบาลไทยจัดการต้อนรับอย่างสมเกียรติ มีการหารือกันอย่างอบอุ่นจนสามารถมีข้อตกลงที่เป็นประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศในแทบทุกมิติ เป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ อันจะอำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาชาติของทั้งสองประเทศ เป็นแบบอย่างการสร้างความร่วมมือเพื่อสันติภาพและการพัฒนา แม้ว่าจะมีศาสนาที่ต่างกัน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ มีการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee) หรือ เจทีซีระดับรัฐมนตรี ระหว่างนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย กับนายโมฮัมหมัด เรซา เนมัทซาเด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เหมืองแร่และการค้าของอิหร่าน ครั้งที่ ๑ ระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีอิหร่านเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชียที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันจัดทำความตกลงสิทธิพิเศษทางการค้า (Preferential Trade Agreement-PTA) เพื่อเร่งเปิดตลาดสินค้าระหว่างกัน โดยนำร่องสินค้าที่จะนำมาลดภาษีระหว่างกัน ๑๐๐ รายการแรก คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๕๖๐ เช่น มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม ผลไม้เมืองร้อน เช่น กล้วย อาหารทะเล ยางพารา เป็นต้น ส่วนสินค้านำเข้าที่ไทยต้องการจากอิหร่าน เช่น อาหารทะเลแปรรูป อัญมณีในกลุ่มพลอย น้ำมัน และสิ่งทอ เป็นต้น นอกจากนี้ไทยยังสนใจเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม หากอิหร่านมีการจัดทำ PTA กับไทย ยังจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะผลักดันมูลค่าการค้าทั้งสองฝ่ายเป็น ๓,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ ๑ แสนล้านบาทภายในปี ๒๕๖๔ หรืออีก ๕ ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อิหร่านยังเชิญชวนให้ไทยสนับสนุนด้านอัญมณีเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีของอิหร่าน รวมทั้งให้เข้าไปลงทุนในเรื่องยานยนต์ นางอภิรดี ยังได้กล่าวว่า ในการประชุมเจทีซีครั้งนี้ ไทยเร่งรัดให้อิหร่านส่งเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขเข้ามาตรวจสอบมาตรฐานข้าวไทยตามโรงงาน เพื่อบรรจุให้ไทยอยู่ในบัญชีรายชื่อเป็นประเทศที่อิหร่านสามารถนำเข้าข้าวได้ภายในปี ๒๕๕๙ นี้ ซึ่งอิหร่านเคยเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ไทยส่งออกข้าวให้ถึง ๗ แสนตัน/ปี แต่หลังจากอิหร่านถูกคว่ำบาตร การส่งออกข้าวไทยไปอิหร่านแทบจะไม่มี
การประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (เจทีซี) ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ ๑ นี้ นับเป็นโอกาสดีที่จะได้เปิดตลาดการค้าข้าวให้กลับมาเฟื่องฟู โดยไทยตั้งเป้าที่จะส่งออกข้าวไปอิหร่านให้ได้ในปริมาณที่เคยส่งออก ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาไทยเคยลงนามเอ็มโอยูขายข้าวให้อิหร่าน ๓ แสนตัน แต่อุปสรรคบางประการทำให้ส่งออกไม่สำเร็จ.
โดย พรรณี ตั้งใจสถาปัตย์
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|