เรื่อง ดึงผู้สูงวัยทำงานหลังเกษียณ
สังคมไทยกำลังนับถอยหลังเพื่อก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” ในปี ๒๕๖๔ ซึ่งประชากร ๒๐ เปอร์เซ็นต์จะมีอายุเฉลี่ยมากกว่า ๖๐ ปี รัฐบาลได้เริ่มวางนโยบายรับมือ ล่าสุดเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายนที่ผ่านมานี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จัดทำแผน “โมเดลจ้างแรงงานข้าราชการ เจ้าหน้าที่หลังเกษียณอายุให้มีงานทำ” นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เห็นว่า โมเดลจ้างงานผู้สูงอายุหลังเกษียณเป็นแนวคิดที่ดี ขณะนี้สถานการณ์การจ้างงานขาดแคลนในเชิงปริมาณ เห็นได้จากปัจจุบันไทยต้องใช้แรงงานต่างด้าวเกือบ ๓ ล้านคน โมเดลเบื้องต้นต้องทำระบบฐานข้อมูล คัดกรองกลุ่มผู้สูงอายุแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ มีเกณฑ์ด้านสติปัญญา ภาวะสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ และความสนใจงานของแต่ละบุคคลเป็นตัวชี้วัดเพื่อนำข้อมูลมาใช้แยกกลุ่มระหว่างผู้สูงอายุ พิจารณาดูลักษณะงานให้เหมาะสม สร้างระบบการคุ้มครองแรงงานขึ้นมา และมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งเรื่องค่าจ้าง ค่าตอบแทน และสิทธิประโยชน์ที่เป็นธรรม หากสามารถขึ้นทะเบียนผู้สูงอายุให้มีงานทำได้ นอกจากเป็นการสร้างรายได้ มีเงินออม ไม่ต้องเป็นภาระของครอบครัวในอนาคต การพัฒนาทำให้แรงงานมีความรู้ เป็นทางเลือกช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ช่วยลดปัญหาสังคม เพราะหากแรงงานผู้สูงอายุรอความช่วยเหลือจากรัฐผ่านเบี้ยชราภาพคงไม่พอกับรายจ่าย ต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า ๒,๕๐๐ บาท/เดือน จึงจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิต
พ.ญ.ลัดดา ดำริการเลิศ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) อธิบายว่า หลักการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามปฏิญญาสากลจะต้องทำให้มีความมั่นคง ๓ ด้าน คือ ด้านสุขภาพ ด้านเศรษฐกิจ และมีหลักประกันที่มั่นคงจากครอบครัวและสิ่งแวดล้อม รัฐและเอกชนต้องทำให้เกิดการจ้างงาน และยังระบุว่า ส่วนตัวคิดว่าราชการคงไม่สามารถขยายงานได้ทุกประเภท แต่ควรเริ่มจากกลุ่มที่ต้องการทักษะฝีมือเฉพาะ ขณะเดียวกันส่งเสริมเรื่องการออมด้วย ผู้สูงอายุหลังเกษียณควรมีเงินเก็บอย่างน้อย ๒ ล้านบาท เพื่อให้มีใช้จ่ายเฉลี่ย ๘,๐๐๐-๙,๐๐๐ บาท/เดือน เงินนี้เทียบกับสภาพปัจจุบันดูไม่มาก แต่ความเป็นจริงผู้ที่จะมีเงินออมให้ถึง ๒ ล้านบาทมีน้อย จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้สูงอายุไทยที่มีรายได้จากการเก็บออมมีน้อย เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากบุตรเลี้ยงดู รองลงมาเป็นรายได้จากการทำงาน แสดงว่ารายได้จากการออมคงไม่พอ และกล่าวว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมไม่มีลูก ผู้สูงอายุในอนาคตอาจจะมีรายได้จากบุตรลดลง ต้องพึ่งตนเองด้วยการทำงานมากขึ้น คู่ไปกับต้องเก็บออมเงินเพื่อจะได้มีเงินดูแลตนเองไปตลอดจนช่วงท้ายของชีวิต
ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า โมเดลจ้างแรงงานข้าราชการ เจ้าหน้าที่หลังเกษียณให้มีงานทำ เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการส่งเสริมการทำงานของผู้สูงอายุ ระยะที่ ๑ ช่วงปี ๒๕๕๙-๒๕๖๔ แบ่งเป็น ๕ กลยุทธ์ย่อย คือ ต้องกระจายงานเข้าสู่ชุมชน, ร่วมมือกับภาคเอกชนจ้างงานผู้สูงอายุหลังเกษียณ, สร้างตลาดแรงงานเกี่ยวกับผู้สูงอายุ, ขยายการเกษียณอายุราชการเฉพาะตำแหน่ง และสุดท้ายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงวัยในอาชีพที่ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน.
โดย พรรณี ตั้งใจสถาปัตย์
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|