เรื่อง “เพลงสรรเสริญพระบารมี” เพลงประจำสถาบันพระมหากษัตริย์
บทเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ดังกึกก้องทั่วบริเวณท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา เป็นภาพบรรยากาศที่ต่างจากที่เราเคยได้ยินเป็นประจำหรือยืนทำความเคารพก่อนชมภาพยนตร์ ภาพประชาชนจำนวนมากรวมพลังกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งการรวมพลังครั้งสำคัญนี้ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล และทีมงานได้จัดทำขึ้น เพื่อบันทึกเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ความผูกพัน และความอาลัยของประชาชน ผู้จงรักภักดีทุกหมู่เหล่า โดยจัดทำเป็นภาพยนตร์และวีดิทัศน์เพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศและสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ
เพลงสรรเสริญพระบารมีที่คนไทยรู้จักหรือร้องเพลงนี้ในฐานะเพลงประจำสถาบันพระมหากษัตริย์ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบความหมายหรือที่มาของเพลง ซึ่งความหมายโดยรวมของบทเพลงสรรเสริญพระบารมีคือ “ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอกราบไหว้พระองค์ผู้มีบุญญาธิการ ซึ่งพระองค์ที่ปกครองปวงชนให้เป็นสุข ด้วยใบบุญของพระองค์ ประชาชนจึงสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณ จึงขอบันดาลให้พระองค์สมประสงค์ในทุกสิ่ง เป็นการถวายพระพรชัยแด่พระองค์” ดังนั้น เพลงสรรเสริญพระบารมี จึงเป็นบทเพลงที่แสดงถึงความรู้สึกที่ปวงชน ชาวไทยรู้สึกว่าพระมหากษัตริย์เป็นที่มาของความสุขของแผ่นดินนี้ หากเราร้องเพลงโดยไม่เข้าใจความหมายของเนื้อเพลง ผู้ร้องก็จะไม่เกิดความซาบซึ้งและไม่เกิดความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไทยตามที่บทเพลงต้องการเสนอ
สำหรับที่มาของเพลงสรรเสริญพระบารมีนั้น มีเค้าโครงว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีเพลงที่มีลักษณะคล้ายเพลงสรรเสริญพระบารมีอยู่ก่อนแล้ว ใช้บรรเลงในเวลาพระมหากษัตริย์เสด็จ ออกท้องพระโรง แต่เพลงสรรเสริญพระบารมีในฐานะเพลงชาตินั้น เริ่มปรากฏในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยมีการ
ใช้เพลง God Save the King ซึ่งเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติของอังกฤษ บรรเลงเป็นเพลงถวายความเคารพแด่องค์พระมหากษัตริย์ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้ใช้ทำนองเพลงนี้แต่งคำร้องสรรเสริญพระบารมีถวาย โดยให้ชื่อว่า “จอมราชจงเจริญ” จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์และเกาะชวาในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ ขณะที่ทรงประทับอยู่ที่สิงคโปร์นั้น ทหารอังกฤษได้ใช้เพลง God Save the King เป็นเพลงเกียรติยศรับเสด็จ จึงทำให้ประเทศไทยและประเทศอังกฤษใช้บทเพลงสรรเสริญพระบารมีเดียวกัน ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองปัตตาเวีย ชาวฮอลันดาที่ตั้งอาณานิคมที่นั้น ได้ถามถึงเพลงประจำชาติของไทย เพื่อจะได้นำไปบรรเลงรับเสด็จ พระองค์จึงมีพระราชดำริแก่ครูดนตรีไทยให้ แต่งเพลงแตรวงรับเสด็จเพื่อใช้แทนเพลง God Save the King ตอนนั้นคณะครูดนตรีไทยจึงได้เสนอเพลงบุหลันลอยเลื่อน ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ใช้เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายเฮวุด เซน (Heutsen) ครูดนตรีในกรมทหารมหาดเล็กชาวฮอลันดา เรียบเรียงทำนองขึ้นมาใหม่และนำมาใช้บรรเลงตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๑๔ – ๒๔๓๑
เพลงสรรเสริญพระบารมีได้ถูกแต่ง เรียบเรียง และปรับเปลี่ยนเนื้อเพลงอยู่หลายครั้งหลายครา และถูกแต่งให้มีหลายเนื้อร้องเพื่อใช้เฉพาะในกลุ่ม จนในสมัยของ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้นำผลงานเพลงสรรเสริญพระบารมีของปโยตร์ ซูรอฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) ผู้ประพันธ์ทำนอง และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ประพันธ์เนื้อร้อง มาปรับเปลี่ยนคำร้องเสียใหม่ โดยเปลี่ยนคำสุดท้ายของเพลงจากเดิมคือ “ฉะนี้” เป็น “ชโย” ทรงประกาศใช้ในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพลงสรรเสริญพระบารมีได้ถูกลดความสำคัญลงไม่ได้ถูกใช้ในฐานะเพลงชาติอีกต่อไป แต่ยังคงใช้ในฐานะเพลงถวายความเคารพพระมหากษัตริย์เช่นเดิม
โดย ชัชพร ศฤงคารจินดา
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|