เรื่อง เอทานอลสู่แก๊สโซฮอล์ พลังงานทดแทน ตามโครงการในพระราชดำริ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกลเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาพลังงาน ในประเทศไทยมาแต่อดีต ตั้งแต่สมัยที่ประชาชนทั่วไปยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องพลังงาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปรารถนาจะเห็นประชาชนอยู่ดีมีสุขตามสมควรแก่อัตภาพ จึงทำให้เกิดโครงการในพระราชดำริต่าง ๆ มากมายหลายด้าน ทั้งด้านพลังงาน ด้านการเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านวิศวกรรม ด้านคมนาคมและการสื่อสาร ด้านสาธารณสุข เป็นต้น
สำหรับโครงการในพระราชดำริทางด้านพลังงานนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระราชทานโครงการในพระราชดำริอันเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาพลังงานมากมาย ตั้งแต่โครงการไฟฟ้าจากพลังงานน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำและผลิตกระแสไฟฟ้าที่ทุกคนคุ้นหูกัน โครงการฝนหลวง รวมไปถึงโครงการในพระราชดำริอันเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาพลังงานทดแทนอีกมากมาย อาทิ เอทนอล ไบโอดีเซล พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ฯลฯ
โครงการผลิตเอทานอลนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชทรงริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา ซึ่ง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และบางจากร่วมกันนำเอทานอลมาผลิตเป็นแก๊สโซฮอลจำหน่าย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นเริ่มขึ้นภายในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา กลายเป็นแนวทางให้ทั้งรัฐบาลและเอกชนดำเนินการพัฒนาพลังงานเพื่อขยายการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพให้เป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ เริ่มตั้งแต่การทดลองปลูกอ้อยหลายสายพันธุ์เพื่อคัดเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดมาทำแอลกอฮอล์ ต่อจากนั้นก็เป็นโรงงานแอลกอฮอล์ ซึ่งมีทั้งเครื่องหีบอ้อย ถังหมัก หอกลั่นขนาดเล็ก เริ่มเดินเครื่องการผลิต ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2529 ต่อมาเนื่องจากวัตถุดิบไม่เพียงพอ ซึ่งนอกจากจะใช้อ้อยที่ผลิตได้ภายในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดาแล้ว ยังออกไปรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบอีกทางหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าก็ยังไม่เพียงพอ จึงเปลี่ยนมาใช้กากน้ำตาลแทน
แอลกอฮอล์ที่ผลิตได้ในช่วงแรกนั้นไม่สามารถนำไปผสมกับเบนซินได้ จึงนำไปทำเป็นน้ำส้มสายชูแทน ต่อมาก็ทำเป็นแอลกอฮอล์แข็งใช้อุ่นอาหารให้กับห้องเครื่องของสวนจิตรลดา โรงงานแอลกอฮอล์มีการปรับปรุงการกลั่นเรื่อยมา ต่อมาสามารถผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95% หรือที่เรียกว่า “เอทานอล” ได้เป็นผลสำเร็จ แต่เอทานอลนี้ก็ไม่สามารถนำไปผสมกับเบนซินได้ เพราะมีน้ำผสมอยู่ด้วย ต้องนำไปกลั่นแยกน้ำเพื่อให้ได้แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% โครงการส่วนพระองค์ฯ จึงนำไปผ่านกระบวนการแยกน้ำที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยเพื่อให้ได้เอทานอลบริสุทธิ์และนำกลับมาผสมกับน้ำมันเบนซิน 91 ในอัตราส่วน 9:1 ได้เป็น “น้ำมันแก๊สโซฮอล์” เติมให้กับรถยนต์ทุกคันของโครงการส่วนพระองค์ฯ
ช่วงปี พ.ศ. 2528 – 2530 ปตท. และบางจากเปิดจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้ระยะหนึ่งก็ต้องหยุดไปเพราะมีราคาแพงกว่าน้ำมันเบนซิน แต่โครงการส่วนพระองค์ฯ ยังคงศึกษาวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อย่างต่อเนื่อง กระทั่งเกิดวิกฤตราคาน้ำมัน การนำผลการศึกษาวิจัยเรื่องพลังงานทดแทนตามพระราชดำริมาต่อยอดขยายผลในเชิงพาณิชย์จึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศได้ปีละหลายร้อยล้านบาท รวมทั้งช่วยเกษตรกรให้ขายผลผลิตได้ในราคาสูงขึ้น และช่วยลดมลพิษทางอากาศด้วย
ปัจจุบัน หากพูดถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ หลายคนที่ขับรถต้องรู้จักเป็นแน่ เพราะมีให้เติมกันแทบทุกปั๊มน้ำมัน นับได้ว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี น้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ทั้งโซฮอล์ 91 โซฮอล์ 95 นับเป็นพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่มีต่อประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
โดย ธัญลักษณ์ ฉิมดี
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|