เรื่อง จ้างงานคนสูงอายุอย่างเต็มคุณภาพ
ปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) และจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดในปี 2574 ภาวะประชากรสูงอายุเป็นแนวโน้ม ที่สำคัญของศตวรรษที่ 21 มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อทุกด้านของสังคม ทั่วโลกมี ผู้ฉลองวันเกิดอายุครบ 60 ปี วินาทีละ 2 คน ปีละเกือบ 58 ล้านคน โดย 1 ใน 9 ของประชากรโลกมีอายุ 60 ปีขึ้นไป
วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพิ่มแรงกดดันทางการเงินในการสร้าง ความมั่นใจทั้งในเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงการดูแลสุขภาพในยามสูงอายุ สถิติจากทั่วโลก 47 เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงอายุชาย และ 23.8 เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงอายุหญิงเข้าร่วมในกำลังแรงงาน รายได้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นในการดำรงชีวิตและเพื่อรักษาความแข็งแรงของสุขภาพการทำงานช่วงสูงวัยตามความเหมาะสมตามความต้องการของตลาดแรงงาน ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่กำลังขยับเรื่องนี้เต็มรูปแบบหลังจากมีกฎหมายมาบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2560 กฎหมายเรื่องการจ้างผู้สูงอายุและนำไปลดหย่อนภาษีได้ มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาประกาศยกเว้นภาษีแก่นายจ้างที่รับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปทำงานเท่ากับค่าจ้างที่จ่ายผู้สูงอายุ โดยต้องไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด กรณีที่ผู้สูงอายุทำงานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหลายแห่ง ในเวลาเดียวกัน ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่รับผู้สูงอายุเข้าทำงานก่อนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ดังกล่าว นอกจากนี้ รายจ่ายจ้างผู้สูงอายุต้องไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท/เดือน โดยผู้สูงอายุจะต้องเป็นลูกจ้างของบริษัทนั้นอยู่แล้ว หรือได้ขึ้นทะเบียนหางานกับกระทรวงแรงงาน ต้องไม่เป็นหรือไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จ้างหรือบริษัทในเครือ
ปี 2525 องค์การสหประชาชาติจัดประชุมครั้งแรกในแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และในปี 2541 ได้จัดประชุมที่เมืองมาเก๊า ประเทศจีน ได้ออกปฏิญญามาเก๊าเรื่องผู้สูงอายุในเอเชียและแปซิฟิกเพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ การรับรองสิทธิ และดำเนินการในเรื่องผู้สูงอายุบนพื้นฐานการมีอิสระ การมีส่วนร่วม การได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความพึงพอใจ และมีศักดิ์ศรีในตนเอง ในปี 2542 องค์การสหประชาชาติประกาศให้เป็นปีสากลของผู้สูงอายุ และเพื่อให้สอดคล้องกับปฏิญญาผู้สูงอายุมาเก๊า องค์กรผู้สูงอายุและผู้ทรงคุณวุฒิร่วมกันจัดทำปฏิญญาผู้สูงอายุไทยขึ้นเพื่อถือปฏิบัติ ในทิศทางเดียวกัน และให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้สูงอายุไทยทัดเทียมกับคนทุกวัย ประกาศเป็นปฏิญญาผู้สูงอายุไทยเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2542 มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 3 ประการ คือ ด้านมนุษยธรรม ด้านการศึกษา และด้านการพัฒนา สรุปคือ.-
-เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี, การยอมรับได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข, การมีโอกาสได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการ, มีโอกาสทำงานถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของตน โดยได้รับค่าตอบแทน, มีโอกาสได้เรียนรู้การดูแลสุขภาพอนามัยของตน และได้รับหลักประกัน ในบริการด้านสุขภาพ, ได้รับโอกาสให้มีส่วนร่วมในครอบครัวและสังคม, รัฐและองค์กรต่าง ๆ ต้องดำเนินการจัดการดูแลผู้สูงอายุให้เป็นไปตามเป้าหมายรัฐและประชาคมโลก, ต้องมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้สูงอายุด้านต่าง ๆ และรัฐและสังคมต้องรณรงค์ ปลูกฝังค่านิยม ให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าผู้สูงอายุ
การจ้างงานผู้สูงอายุ ช่วยสร้างรายได้ให้กับแรงงานสูงวัย ให้ดำเนินชีวิต ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ลดภาระและการพึ่งพิงครอบครัวและสังคมได้ ขณะเดียวกัน เป็นการส่งเสริมให้ประชากรที่ใกล้เข้าสู่วัยสูงอายุเตรียมความพร้อมทั้งด้านสุขภาพ สังคม และ เศรษฐกิจ เพื่อเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพและเป็นพลังของสังคมได้ยาวนานที่สุด.
โดย พรรณี ตั้งใจสถาปัตย์
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|