เรื่อง   โครงการประกันภัยข้าวนาปี

แม้ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมยุค 4.0 แต่ประชากร              70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศยังเป็นเกษตรกร และพื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงทำการเพาะปลูกข้าว รัฐบาลปัจจุบันมีนโยบายช่วยเหลือชาวนาไทยแบบบูรณาการ ด้วยการดึงความร่วมมือจาก  ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภายใต้โครงการประกันภัยข้าวนาปี     ให้ความคุ้มครองภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยปีการผลิต 2559           เป็นครั้งแรก มีพื้นที่ทำนาได้รับการดูแลถึง 25 ล้านไร่

นับเป็นมาตรการช่วยเหลือชาวนาเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน ปิดความเสี่ยง      ลดภาระการกู้ยืม และยกระดับรายได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำชาวนาไทยในอนาคต สำหรับ    ปีการผลิต 2560 กำหนดพื้นที่เป้าหมายรับประกันภัยไว้ที่ 25-30 ล้านไร่ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งการจ่ายสินไหมและเบี้ยประกันภัยถูกลง จำนวนบริษัทรับประกันภัยเพิ่มเป็น 24 บริษัทจาก 16 บริษัท ทั้งนี้ เบี้ยประกันภัยเหลือเพียง 90 บาท/ไร่จากปีก่อน 100 บาท/ไร่ แต่ได้รับความคุ้มครองมากขึ้นเป็น 1,260 บาท/ไร่ ทำให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณอุดหนุนเบี้ย ราคาเบี้ยประกันภัยเมื่อรวมอากรแสตมป์และภาษีแล้วจะอยู่ที่ 97.37 บาท/ไร่ ซึ่งรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 61.37 บาท/ไร่ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อุดหนุนส่วนที่เหลือ 36 บาท/ไร่ ชาวนาที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส.จะไม่เสียเงินค่าเบี้ยประกันภัย แต่ถ้าไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส.จ่ายเบี้ยประกันภัยเพียง 36 บาท/ไร่ อย่างไรก็ตาม ชาวนาที่จะซื้อประกันภัยข้าวนาปีต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรหรือปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร  ปีการผลิต 2560/2561 กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยซื้อได้ตั้งแต่ก่อนเพาะปลูกจนถึงวันสุดท้ายของการขายไม่เกิน 30 สิงหาคม 2560 ของทุกภาค เริ่มขายประกันภัยข้าวนาปีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป โดยให้ความคุ้มครองภัยพิบัติทางธรรมชาติ 6 ภัย และภัยโรคระบาด 1 ภัย ได้แก่ ภัยที่เกิดจากน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งฝนทิ้งช่วง   ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น อากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ ส่วนความเสียหายจากภัยศัตรูพืชและโรคระบาดวงเงินความคุ้มครองจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 630 บาท/ไร่

ภัยเหล่านี้ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเป็นผู้ประกาศให้เป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ทางบริษัทประกันภัยจึงจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน ขณะที่แนวทางการจ่ายค่าสินไหมมีการปรับปรุงโดยอิงผลประโยชน์ชาวนามากขึ้น ด้วยการแก้ไขคำจำกัดความวันที่เกิดความเสียหายที่รองรับกรณีมีการประกาศภัยหลายครั้ง ในกรณี นาข้าวได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างแต่ไม่เพียงพอที่จังหวัดจะประกาศเป็นพื้นที่เขตภัยพิบัติ ให้เกษตรกรแจ้งเกษตรอำเภอมาตรวจสอบ ก่อนจะมีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยว่าเกษตรกรมีความเสียหายจริงเพื่อจะได้ดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไป ซึ่งเดิมจะได้รับการชดเชยต่อเมื่อทางผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายสินไหมทดแทนด้วยการที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์กับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กรณีมีการประกาศภัย เพื่อให้สำนักงาน คปภ. และหน่วยงานเกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลรวดเร็ว และเตรียมการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่เกษตรกรต่อไป

การประกันภัยข้าวนาปีในปี 2560 นี้ นับว่ามีกระบวนการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ชาวนาลดภาระค่าใช้จ่ายจากการที่ต้องเพาะปลูกใหม่เมื่อเกิดภัยพิบัติ  ลดโอกาสการกู้ยืมเงินทำให้มีรายได้คงค้างในกระเป๋ามากขึ้น อีกทั้งยังเป็นโครงการตัวอย่างการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่โครงการอื่นสามารถนำไปปรับใช้ได้ เป็นการสร้าง        องค์ความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงให้กับสังคมในวงกว้างเพื่อให้ชาวนาไทยมีความเข้มแข็งสามารถเดินควบคู่ไปกับอุตสาหกรรม 4.0 สร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาวอย่างยั่งยืน.   


โดย   พรรณี ตั้งใจสถาปัตย์  
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก