เรื่อง กฎหมายลงโทษข้าราชการที่ทุจริตคอร์รัปชั่น
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม หรือเรียกอีกชื่อว่า กฎหมาย 7 ชั่วโคตร โดยมีที่มาจากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งประธาน สปท. ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ระบุว่า กฎหมายนี้เป็นความตั้งใจที่รัฐบาลจะให้ข้าราชการมีความซื่อสัตย์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน บังคับใช้กับข้าราชการทุกคน ทุกตำแหน่ง ข้าราชการการเมือง รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือเอกชนที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการของรัฐ ซึ่งจะดำเนินการทุกระดับพร้อมคู่สมรสทั้งที่ได้จดทะเบียนหรือไม่ได้จดทะเบียนแต่ต้องพิสูจน์ทราบได้ว่าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน รวมทั้งครอบคลุมไปถึงญาติ 4 ลำดับ คือ ผู้สืบสันดาน, บุพการี, คู่สมรส และพี่น้องและบุตรบุญธรรม
ทั้งนี้ กำหนดหลักเกณฑ์สำคัญคือ.-
-ห้ามกระทำการขัดระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม
-ห้ามรับของขวัญ ของที่ระลึก เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ แต่ถ้าให้ตามประเพณีนิยมสามารถรับได้ โดยจะมีการออกกฎหมายลูกตามมา
-ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและมีอำนาจกำกับดูแลโดยตรงในหน่วยใด หลังจาก พ้นตำแหน่งจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยว เป็นกรรมการ หรือเป็นที่ปรึกษาใด ๆ ในหน่วยงานนั้นภายในระยะเวลา 2 ปี
-การกระทำการใด ๆ ที่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับของทางราชการที่ตนรับรู้ระหว่างดำรงตำแหน่ง และให้ข้อมูลลับนั้นเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง เป็นไปเพื่อทุจริต ไม่สามารถกระทำได้
กล่าวโดยสรุป ความตั้งใจจริงที่จะทำงานเพื่อประชาชน ต้องพร้อมถูกตรวจสอบ ทุกประเทศที่เจริญแล้วมีกฎหมายนี้บังคับใช้ทั้งนั้น ซึ่งหมายรวมการแทรกแซงแต่งตั้ง โยกย้ายด้วย หรือแม้แต่การนำเอาซองจดหมายตราครุฑของราชการ หยิบเงินใส่ซองช่วยงานศพ หรือการนำโทรศัพท์มือถือชาร์จไฟหลวงในที่ทำงาน ตัวอย่างเหล่านี้ต้องมีการออกกฎหมายลูก กฎระเบียบของแต่ละหน่วยงานว่าอนุญาตให้กระทำได้แค่ไหน เพียงใด หรือจะเสียบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวโดยใช้ไฟหลวงในที่ทำงานได้กี่ชั่วโมง เป็นต้น.
โดย พรรณี ตั้งใจสถาปัตย์
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|