เรื่อง 5 ผู้ประกอบการยางพาราเอกชนลงทุนสินค้าเพื่อสร้างเสถียรภาพ
นายธีรัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ผลจากการตั้งบริษัทร่วมทุนกับผู้ประกอบการยางพาราเอกชน 5 ราย มีทุนจดทะเบียน 1,200 ล้านบาท ขณะนี้กองทุนได้เริ่มทยอยลงทุนในสินค้าในตลาดซื้อขายล่วงหน้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม ราคายางพาราที่เหมาะสมที่เกษตรกรผู้ปลูกสามารถอยู่ได้คือ ราคาควรอยู่ในระดับเกิน 60 บาท/กิโลกรัมขึ้นไป เพราะต้นทุนการปลูกอยู่ที่ 50 บาท/กิโลกรัม หลังจากรัฐบาลมีนโยบายเข้ามาดูแลเสถียรภาพราคายาง ทำให้ราคาเริ่มปรับขึ้น ปัจจุบันอยู่ที่ 57 บาท/กิโลกรัม รัฐบาลคาดว่าปี 2570 จะให้ไทยขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกในตลาดผลิตภัณฑ์ยางจากปัจจุบันอยู่อันดับ 4-5 เป็นการต่อยอดจากปัจจุบันที่ไทยเป็นผู้ปลูกและส่งออกวัตถุดิบยางพาราอันดับ 1 ที่มีกำลังผลิตรวมราว 4.4 ล้านตัน/ปี
1 ใน 5 บริษัทผู้ประกอบการยางพาราเอกชน กล่าวว่า ราคายางพาราผ่านพ้นจุดต่ำไปแล้ว มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ปัจจุบันดีขึ้นมาที่ระดับราว 57 บาท/กิโลกรัม เป็นระดับราคาที่ฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงต้นปี 2559 ขณะที่ผู้ใช้ยางพารารายใหญ่ของโลกอันดับ 1 คือ จีน มีการนำเข้าราว 4 ล้านตัน/ปี อันดับ 2 คือ ประเทศอินเดียยังมีความต้องการใช้เติบโตสูง ซึ่งจีนใช้ยางพารามากที่สุดในโลก มีสต๊อกยางพาราที่ชิงเต่าช่วงเดือนพฤศจิกายน 2559 ลดลงเหลือเพียง 6 หมื่นตัน จากที่เคยอยู่ในระดับสูงที่ราว 3.5-3.8 แสนตัน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจของโลกมีทิศทางฟื้นตัวที่ดี นอกจากนี้รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการใช้ยางพาราในประเทศมากขึ้น หากรัฐบาลทำได้ตามประกาศจะเป็นผลบวกต่อราคายางพารา แต่ประเมินราคา ในอนาคตได้ยากเพราะต้องติดตามอีกหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า คาดว่าการใช้ยางพาราในประเทศมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านตัน/ปีเกิดจากผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของโลกเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทยแล้ว มีทั้งที่ย้ายฐานเข้ามาจากประเทศ
มาเลเซีย รวมถึงขยายกำลังการผลิต อุตสาหกรรมผลิตยางล้อรถยนต์มีสัดส่วนการใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของโลก ส่งผลให้การใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มเป็น 6 แสนตัน/ปี จากกำลังการผลิตทั้งหมดของประเทศที่มีราว 4-5 ล้านตัน/ปี ที่เหลือเป็นการส่งออก
ดังนั้น ในปี 2566 ตั้งเป้าหมายจะมีรายได้เพิ่มราว 8 หมื่นล้านบาท - 1 แสนล้านบาท มาจากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นตามแผนการลงทุนและราคายางที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นจากปีนี้ ตั้งเป้าหมายรายได้ที่ 2.50 หมื่นล้านบาท และในปี 2561 เพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งนายจุติ เสนางคนิกร นักลงทุนตลาดซื้อขายยางล่วงหน้า กล่าวว่า ตลาดมีสัญญาที่ซื้อขายมากขึ้น ส่วนแนวโน้มราคายางมองว่า ปีนี้ราคาจะเริ่มกลับมาดีในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ นักลงทุนระยะสั้นในตลาดซื้อขายล่วงหน้าควรดูจังหวะเปิดซื้อไว้เพื่อรอไปขายในช่วงเข้าเดือนธันวาคม แต่ถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาวควรเปิดสถานะลองเอาไว้ก่อนเพื่อรอหาจังหวะทำกำไรช่วงที่ราคาปรับขึ้นมา.
โดย พรรณี ตั้งใจสถาปัตย์
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|