เรื่อง โครงการ “ตรวจจับ ปรับจริง เต็นท์รถยนต์มือสอง””
เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ได้จัดทำโครงการ “ตรวจจับ ปรับจริง เต็นท์รถยนต์มือสอง” โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมการปกครอง กรมการขนส่งทางบก และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้กับผู้ประกอบธุรกิจรถยนต์ใช้แล้วให้ได้รับทราบการปฏิบัติที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา พบว่าผู้ประกอบธุรกิจส่วนหนึ่งไม่ให้ความสำคัญในการจัดทำฉลากสินค้าและไม่มีการส่งมอบหลักฐานการรับเงิน ตามที่กฎหมายกำหนดให้แก่ผู้บริโภค ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่ได้รับทราบข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์และอาจนำไปสู่ปัญหาการหลอกลวงต่าง ๆ โดยในช่วงปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหารถยนต์ใช้แล้วจากผู้บริโภค จำนวน ๑๒๙ ราย ปัญหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับรถยนต์มีความชำรุดบกพร่อง ระบุระยะทางในการใช้รถยนต์ไม่ตรงต่อความเป็นจริง เครื่องยนต์ไม่ตรงกับคู่มือจดทะเบียนรถยนต์
ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอาเปรียบ คณะกรรมการ ว่าด้วยฉลากและคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา จึงได้ออกกฎหมายจำนวน ๒ ฉบับ เพื่อนำมาใช้บังคับประกอบธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ ๓๕ (พ.ศ. ๒๕๕๖) เรื่อง ให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องจัดทำฉลากสินค้า ระบุรายละเอียดสำคัญ เช่น ชื่อ ประเภทหรือชนิดของสินค้า ชื่อและสถานที่ประกอบการของผู้ขาย ขนาดหรือน้ำหนัก สมุดคู่มือการบำรุงรักษารถ และข้อมูลการประสบภัย และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้วเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งกำหนดให้ ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีหลักฐานการรับเงินให้กับผู้บริโภค โดยระบุรายละเอียดทุกอย่างให้ชัดเจน
ส่วนกรณีผู้ประกอบธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้ว ไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่การแสดงฉลากนั้น ไม่ถูกต้องจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน ปรับไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีไม่ส่งมอบหลักฐานการรับเงินที่มีรายการและข้อความตา ที่กฎหมายกำหนดให้แก่ผู้บริโภคต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี ปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น จึงขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบธุรกิจทุกท่านปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดโดยเคร่งครัดด้วย และหากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้าสามารถร้องเรียนทางสายด่วน สคบ.๑๑๖๖ หรือ www.ocph.go.th
โดย ชัชพร ศฤงคารจินดา
เรียบเรียงโดย สมจิตร ตาลสุก
|